Search
Search
ฟิลเลอร์ Neuramis 5,990.-/cc แอดไลน์เลย!
Juvelook คืออะไร? เก็บร่องลึก รอยแตกลายให้กลับมาเรียบเนียนได้จริงไหม

Juvelook คืออะไร? เก็บร่องลึก รอยแตกลายให้กลับมาเรียบเนียนได้จริงไหม

พูดถึงเรื่องความสวยความงาม มักจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อก่อนเราจะได้ยินเสมอว่า ถ้าอยากผิวสวย เรียบเนียน ให้ขยันทาครีมบำรุง แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเห็นผล ยิ่งหากใครที่มีรอยแตกลาย ร่องลึกบนผิว ก็ยิ่งยากที่แค่การทาครีมจะช่วยได้
เมื่อวงการคลินิกความงามได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดตัวช่วยที่จะจบปัญหาผิว นั่นก็คือ Juvelook ที่เข้ามาช่วยเก็บร่องลึก รอยแตกลายให้ดูตื้นขึ้นได้ แถมยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวดูแน่นกระชับ อิ่มฟู หากพร้อมแล้วมาศึกษา ทำความรู้จัก Juvelook ก่อนตัดสินใจฉีดกันได้เลยค่ะ

เลือกอ่านตามหัวข้อ

Juvelook (จูวีลุค) คืออะไร

Juvelook คือ Collagen Booster มีส่วนประกอบสำคัญ 2 อนุภาค ได้แก่ Poly D,L Lactic Acid (PDLLA) ร่วมกับ HA (เป็นส่วนประกอบที่มีในฟิลเลอร์) ผสมผสานกันอย่างลงตัว ช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยขนาดอนุภาคตั้งแต่ 10 ถึง 40 ไมโครเมตร
จุดเด่นของ Juvelook คือ สามารถเก็บริ้วรอยเล็กๆใต้ตา ที่สารเติมเต็มไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้ ถือว่าเป็น Skin Booster ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเกาหลี

PDLLA คืออะไร

Poly-D,L-lactic acid (PDLLA) คือ ไบโอพอลิเมอร์ชีวภาพ มีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายกับฟองสบู่ ทำให้เวลาที่ฉีดลงสู่ใต้ชั้นผิวจึงไม่เกิดลักษณะเป็นก้อนหรือตกค้างในร่างกาย โดย PDLLA นี้จะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยังให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน

ช่วยเรื่องร่องลึก รอยแตกลายได้จริงไหม

หลักการทำงาน Juvelook

หลักการทำงาน Juvelook
  • Step 1 เมื่อฉีด Juvelook เข้าไปในชั้นผิวหนัง HA ก็จะเริ่มทำหน้าที่ในการเติมริ้วรอยเล็กๆบนผิวทันที จากนั้น PDLLA ช่วยเสริมให้ HA อยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
  • Step 2 PDLLA เริ่มทำงานช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • Step 3 เมื่อ PDLLA ออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว ปริมาณคอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยคืนวอลลุ่มให้กับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นจากหลักการทำงานที่ได้กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นคำตอบได้ว่า ผิวที่มีรอยแตกลาย ร่องลึกสามารถฉีด Juvelook เพื่อให้รอยแตกลายหรือร่องลึกดูจางลงและตื้นขึ้นได้

Juvelook เหมาะกับใคร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

นอกจาก Juvelook จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องรอยแตกลายและเรื่องร่องลึกแล้ว ประโยชน์ที่ได้จากการสร้างคอลลาเจนยังช่วยให้
  • ริ้วรอยเล็กๆและร่องลึกดูตื้นขึ้น
  • รอยพับหรือเส้นพับที่คอดูจางลง
  • เก็บริ้วเล็กๆใต้ตา ให้ดูอิ่มฟูขึ้น
  • ลดรอยแตกลาย บริเวณที่ฉีด เช่น ก้น หน้าท้อง หน้าอก ต้นขา
  • ลดรอยแผลขีดข่วน (ไม่ช่วยแผลคีลอยด์)
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยปรับสภาพผิวและกระชับรูขุมขน
Juvelook ช่วยเรื่องอะไร

รีวิว Juvelook

รีวิวฉีด Juvelook ใต้ตา

หลังฉีด 3-4 สัปดาห์ เป็นช่วงเวลาที่ตัวยาออกฤทธิ์เต็มที่ จะเห็นได้ว่าริ้วรอยใต้ตาดูตื้นขึ้น ความคล้ำจางลงทันที ริ้วรอยเล็กๆจะเรียบเนียนขึ้น
รีวิวฉีด Juvelook ใต้ตาที่เมกะคลินิก

รีวิวฉีด Juvelook คอ

หลังฉีดเส้นริ้วรอยที่คอจะดูเต็มขึ้นทันที หลังครบ 2-3 วัน อาการบวมเข็มจะยุบลง อาจเห็นร่องลึกบ้าง แต่เส้นริ้วรอยจะดูตื้นและจางลง
รีวิวฉีด Juvelook คอที่เมกะคลินิก

รีวิวฉีด Juvelook ทั่วหน้า

หลังฉีด 2 สัปดาห์จะเห็นได้ว่ารอยดำเล็กๆดูจางลง ผิวมีความชุ่มชื้น รูขุมขนกระชับ หน้าดูเรียบเนียนขึ้น
Juvelook ทั่วหน้าที่เมกะคลินิก

รีวิวฉีด Juvelook รอยแตกลาย

ความชัดของผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างของผิวและการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ของแต่ละบุคคล

Juvelook ฉีดตรงไหนได้บ้าง

  • Skin Booster ช่วยปรับสภาพผิวและกระชับรูขุมขนทั่วใบหน้า
  • ใต้ตา
  • ริ้วรอยรอบดวงตา
  • รอยพับที่คอ หรือเส้นพับที่คอ
  • รอยแตกหน้าท้อง
  • รอยแตกที่ก้น
  • ริ้วรอยหน้าผาก
  • รอยแมวข่วน หรือรอยแผลขีดข่วน

Juvelook ฉีดกี่ครั้ง

หมอแนะนำให้ฉีดกระตุ้นซ้ำทุกเดือนติดต่อกัน 3 ครั้ง หลังจากนั้นสามารถกระตุ้นซ้ำได้ทุกๆ 6 เดือน โดยจำนวน cc จะขึ้นอยู่กับระดับปัญหาของและการประเมินของแพทย์

Juvelook อยู่ได้นานแค่ไหน

ในการฉีดหนึ่งครั้ง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 12 สัปดาห์ หากฉีดกระตุ้นซ้ำทุกเดือนตามที่หมอได้แนะนำไปข้างต้น จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1ปี – 1ปีครึ่ง

ฉีด Juvelook กี่วันเห็นผล

หลังฉีดจูวีลุค ริ้วรอยเล็กๆบนผิวจะดูตื้นขึ้นทันที หลังจากนั้น 3-4 สัปดาห์ คุณภาพผิวโดยรวมจะค่อยๆดีขึ้น ผิวจะดูแน่น อิ่มฟู

เปรียบเทียบ Juvelook VS Sculptra ต่างกันยังไง

เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้แล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า Juvelook และ Sculptra ต่างกันอย่างไร ในเมื่อมีจุดประสงค์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเหมือนกัน แต่ในความจริงแล้วทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้มีความแตกต่างกันในส่วนประกอบหลักที่ใช้ ดังนี้
  • PDLLA ที่อยู่ใน juvelook มีขนาดโมเลกุลที่ค่อนข้างเล็ก เน้นช่วยเรื่องงานผิว
  • PLLA ที่อยู่ใน Sculptra จะมีโมเลกุลที่ใหญ่กว่า จะเน้นช่วยเรื่องการยกกระชับ
เปรียบเทียบ Juvelook VS Sculptra

Juvelook และ Sculptra สามารถฉีดพร้อมกันได้ไหม

สำหรับคำถามยอดฮิตที่หลายคนถามเข้ามาว่า Juvelook และ Sculptra นั้นสามารถฉีดพร้อมกันได้หรือไม่ คำตอบคือ สามารถฉีดพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถฉีดพร้อมหัตถการอื่นได้ เช่น รีจูรัน หรือฟิลเลอร์ โดยไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อกัน

ฉีด Juvelook ที่ไหนดี

การจะเลือกคลินิกที่จะเข้ารับบริการ นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องผลลัพธ์ หมออยากให้ทุกคนคำนึงถึงความปลอดภัยของคลินิกที่จะเข้ารับบริการเป็นอันดับแรก
หากเลือกฉีด Juvelook ที่เมกะคลินิก คลินิกเราใช้ยาแท้สั่งตรงจากบริษัทนำเข้า เพื่อความมั่นใจ สามารถขอ Scan คิวอาร์โค้ดตรวจสอบเลขล็อต วันหมดอายุก่อนฉีดได้ โดยทุกการทำหัตถการจะอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ทางคลินิกยังคำนึงถึงความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่เปลี่ยนชัด
ขณะฉีด Juvelook ที่เมกะคลินิก

Juvelook ราคาเท่าไหร่ แพงไหม

ราคา Juvelook

*หมดเขต 31 ธ.ค. 67 นี้เท่านั้น

Q&A Juvelook ตอบทุกคำถามที่สงสัย

Q: Juvelook ปลอดภัยไหม
A: Juvelook เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ผ่านการรับรองจากทั้ง อย.ไทยและประเทศเกาหลี จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยได้เลยค่ะ ส่วนประกอบสำคัญอย่าง PDLLA (Poly D,L Lactic Acid) ใน Juvelook เป็นไอโซเมอร์ที่เข้ากับร่างกายได้ดี ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญคือไม่ทิ้งสารตกค้างหรือก้อนใต้ผิว ทำให้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงในระยะยาว
Q: ฉีด Juvelook เจ็บไหม
A: การฉีด Juvelook ไม่ได้เจ็บอย่างที่หลายคนกังวล ก่อนเริ่มฉีดจะมีการแปะยาชาในบริเวณที่จะฉีด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะคะ และเข็มที่ใช้ก็มีขนาดเล็กมาก ทำให้ความรู้สึกเจ็บแทบไม่ต่างจากการทำหัตถการทั่วไปเลยค่ะ
Q: หลังฉีด Juvelook แต่งหน้าได้ไหม
A: หลังจากฉีด Juvelook อาจมีตุ่มนูนตัวยาขึ้นเล็กน้อยประมาณ 3-5 ชั่วโมง เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิว แนะนำให้งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือจนกว่าตุ่มจะยุบ เพราะการแต่งหน้าในทันทีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้
Q: Juvelook 1 ขวด กี่ CC
A: Juvelook 1 ขวดมีปริมาณ 6 CC ซึ่งเพียงพอสำหรับการแบ่งฉีดได้ถึง 2-3 บริเวณค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ว่าแต่ละบริเวณต้องการปริมาณเท่าไร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการของแต่ละคน
Q: Juvelook VS Filler
A: Juvelook จะเน้นที่การปรับคุณภาพผิว ฟื้นฟู เก็บรายละเอียดผิวริ้วรอยเล็กๆ ที่ฟิลเลอร์หรือโบท็อกไม่สามารถเข้าถึงได้  ขณะที่ฟิลเลอร์ จะเน้นการเติมเต็มและปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วน และสดใสขึ้นค่ะ
Q: Juvelook VS Rejuran
A: Rejuran จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูฉ่ำวาวเหมือนสาวเกาหลี รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวเนียนละเอียดขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งหรือผิวที่ดูกร้าน ส่วน Juvelook เป็นส่วนผสมของ PDLLA และ HA ที่เป็นโมเลกุลเล็กๆ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำหน้าที่เป็น Collagen Booster ที่ช่วยจัดการริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า สามารถฉีด Rejuran ควบคู่กับ Juvelook เพื่อช่วยให้ผิวหน้าเนียนละเอียด รูขุมขนกระชับขึ้น และผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นค่ะ
Q: ฉีด Juvelook ได้บ่อยแค่ไหน
A: โดยทั่วไปหมอจะแนะนำให้ฉีดกระตุ้นผิวในช่วงแรก โดยฉีดซ้ำทุกเดือนต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หลังจากนั้นสามารถฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพผิวทุกๆ 6 เดือนค่ะ
จะเห็นได้ว่า Juvelook เป็นผลิตภัณฑ์ Skin Booster ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องช่วยแก้ปัญหาผิวที่มีร่องลึก รอยแตกลาย สำหรับสาวๆที่ยังลังเลอยู่ สามารถแอดไลน์ LINE Official: @megaclinic (มี @) เพื่อจองคิวให้หมอประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือกดแอดไลน์ที่ปุ่มสีเขียวด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ