ริ้วรอยบนใบหน้าคือสิ่งที่พวกเราทุกคนล้วนต้องเจอเมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้น โดยในปัจจุบันการฉีดโบลดริ้วรอยนั้นก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ช่วยได้จริงและถูกยอมรับเป็นวงกว้าง
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าปัญหาริ้วรอยบนใบหน้านั้นมีความสัมพันธ์กับความสมบูรณ์ของคอลลาเจนในชั้นผิว อันเปรียบเสมือนสปริงที่ทำให้ผิวหน้ามีความยืดหยุ่น ตึงกระชับ ถ้าสปริงนั้นเสื่อมสภาพ ซึ่งหมายถึงชั้นผิวที่สูญเสียคอลลาเจน ผิวหน้าก็จะเริ่มมีความหย่อนคล้อย และนำไปสู่ริ้วรอยเหี่ยวย่นในที่สุด
มองลึกลงไปถัดจากชั้นผิวหนังเราก็จะพบกับชั้นที่เป็นศูนย์รวมของมัดกล้ามเนื้อ ส่วนสำคัญที่ทำให้เราสามารถขยับ เคลื่อนไหว และแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างเป็นอิสระ แน่นอนว่าเรามีการแสดงออกทางสีหน้าอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่แรกเกิดถึงตอนนี้
โดยบริเวณที่มีการขยับซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ บ่อยครั้ง อย่างหน้าผาก กึ่งกลางระหว่างคิ้ว และหางตาด้านข้างขมับ นั้นทำให้กล้ามเนื้อมีการพับเข้าขยายออกอยู่เรื่อย ๆ จนเห็นเป็นรอยย่น บวกกับคอลลาเจนในชั้นผิวที่มีน้อย ก็ยิ่งทำให้รอยย่นเหล่านั้นมีความชัดยิ่งขึ้น และกลับไปสู่สภาพเดิมได้ช้า
และทั้งหมดนี้คือที่มาหลัก ๆ ของปัญหาริ้วรอยนั่นเองค่ะ
เมื่อฉีดโบท็อกหรือโบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิด เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าไปยังกล้ามเนื้อมัดเล็กตามตำแหน่งที่มีปัญหาริ้วรอย ตัวยาจะออกฤทธิ์ระงับการสั่งการของเซลล์ประสาทที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้กล้ามเนื้อในจุดที่ฉีดเกิดการคลายตัวและถูกงดใช้งานชั่วคราว
กล้ามเนื้อที่ไม่มีการขยับในระยะเวลาหนึ่งก็จะค่อย ๆ คลายตัวและมีขนาดเล็กลง จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นดูจางลง ร่องลึกดูตื้นขึ้น และผิวเรียบเนียนขึ้น
การฉีดโบลดริ้วรอยเป็นการฉีดโบท็อกเข้าที่กล้ามเนื้อมัดเล็กบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว และหางตา จะเริ่มเห็นผลในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังฉีด โดยเมื่อแสดงสีหน้าจะมีริ้วรอยปรากฏขึ้นมาน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ทำให้ใบหน้าดูเด็กลง และคงสภาพผลลัพธ์ได้ประมาณ 3-4 เดือน ก่อนสลายหมดเองตามธรรมชาติ เร็วช้าขึ้นอยู่กับร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคนเป็นหลัก
และถ้าถามว่า เราเริ่มฉีดโบลดริ้วรอยได้ตอนไหน หมออยากให้ลองนึกภาพตัวเองตอนยังอายุไม่มาก สัก 20-30 ปี กับตัวเองตอน 40-50 ปี ที่ไม่เคยฉีดฉีดโบลดริ้วรอยเลย แน่นอนว่าระดับของปัญหาต้องมีความแตกต่างกันชัดเจน แต่ถ้าเราเริ่มฉีดโบท็อกเพื่อลดการทำงานของมัดกล้ามเนื้อเหล่านั้นตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยลดโอกาสการพัฒนาเป็นริ้วรอยลึกถาวรในอนาคตได้
สำหรับคนที่ผิวเป็นรอยช้ำเข็มได้ง่าย กังวลรอยหายช้ากว่าปกติ ให้ปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้
ในช่วงประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังฉีดฉีดโบลดริ้วรอยอาจมีอาการปวดตึงศีรษะได้บ้างซึ่งเป็นอาการปกติ สามารถทานยาแก้ปวดหรือประคบอุ่นเพื่อบรรเทาได้ แต่ให้งดกด นวด หรือคลึงแรง ๆ ตรงบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 3 วัน
รวมถึงงดทำเลเซอร์ อบซาวน่า อบไอน้ำ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เนื่องจากความร้อนอาจทำให้ตัวยาสลายไปได้บ้าง ทั้งนี้ การใช้ความร้อนในชีวิตประจำวัน เช่น รับประทานชาบู ปิ้งย่าง ใช้ไดร์เป่าผม และอาบน้ำอุ่น ยังคงทำได้ตามปกติ
Q: มีริ้วรอยแบบไหน ที่การฉีดโบลดริ้วรอยช่วยไม่ได้บ้าง
A: ก่อนอื่นหมอต้องย้ำว่าการทำงานของตัวยาโบท็อกจะออกฤทธิ์โดยตรงกับกล้ามเนื้อเท่านั้น ส่วนพวกริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวชั้นนอก ที่ปรากฏขึ้นทั้งที่ไม่ได้แสดงสีหน้าเหล่านี้ เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิว หรือเกิดจากผิวแห้งกร้านขาดความชุ่มชื้น
จึงเหมาะกับการทำหัตถการที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ให้ชั้นผิว อย่างเครื่องยิงพลังงานยกกระชับ หรือการฉีดตัว Collagen Booster เป็นหลัก
Q: หลังฉีดโบลดริ้วรอย ทำไมบางคนหน้าเริ่มตึงไว บางคนหน้าเริ่มตึงช้า
A: การรู้สึกถึงความตึงหลังฉีดโบท็อก หมายถึงตัวยาเริ่มออกฤทธิ์ต่อมัดกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดแล้ว ซึ่งระยะเวลาออกฤทธิ์นั้นอยู่ในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังฉีด และมีความเป็นไปได้ที่บางคนจะเริ่มรู้สึกถึงผลลัพธ์เร็ว เช่น หน้าผากเริ่มตึงแล้ว หรือเวลายิ้มรอยหางตาก็ดูจางลง เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจตอบสนองต่อตัวยาต่างกันได้บ้าง
แต่อย่างไรก็ตามเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาตามที่หมอบอกไปแน่นอนค่ะ ปกติที่เมกะคลินิกมีนัด Follow-up ติดตามผลหลังฉีดโบลดริ้วรอยทุกเคสอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีความกังวลอะไรก็สามารถสอบถามกับแพทย์ผู้ดูแลในวันนัดได้ อีกทั้งคลินิกมีประเมินย้ำฟรีให้อีก 1 ครั้งด้วย
Q: ยังไม่แก่ แต่เริ่มมีริ้วรอยแล้ว ฉีดโบลดริ้วรอยได้เลยไหม
A: ปกติหัตถการประเภทฉีดสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี โดยส่วนใหญ่ปัญหาริ้วรอยจะเริ่มมาในช่วงเข้าสู่วัยทำงาน 20-25 ปีขึ้นไป ซึ่งช่วงอายุนี้ยังไม่ถือว่าแก่ แต่สำหรับคนที่กังวลหน้าแก่ก่อนวัยก็ควรเริ่มมองหาวิธีชะลออายุใบหน้าได้แล้ว และการฉีดโบท็อกก็คือหนึ่งในนั้นค่ะ
Q: มีวิธีป้องกันปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ที่ทำได้ด้วยตัวเองไหม
Q: การฉีดโบลดริ้วรอยบ่อย ๆ ทำได้ไหม แล้วจะมีผลดี-ผลเสียอะไรบ้าง
A: คำว่าฉีดบ่อย ๆ นั้นยังไงก็ไม่ควรถี่เกินไป เช่น ฉีดทุก 1-2 เดือน แบบนี้จะมีความเสี่ยงได้รับโบท็อกเกินขนาด และทำให้ร่างกายเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาต่อสู้กับตัวยาโบท็อกที่ถูกฉีดเพิ่มเข้ามา เป็นผลให้โบท็อกไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อมัดกล้ามเนื้อได้อีก หรือ
เรียกสภาวะนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า ดื้อโบท็อก
การเว้นช่วงฉีดโบลดริ้วรอยที่เหมาะสมที่สุดคือ ทุก ๆ 3-4 เดือน เพราะเป็นระยะเวลาที่โบท็อกสลายตัวหมดแล้ว และริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ กลับมาอีกพอดี โดยสามารถเข้ามาให้แพทย์ช่วยประเมินใบหน้าก่อนแล้วค่อยตัดสินใจฉีดก็ได้
เมกะคลินิกเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการปรับรูปหน้า ดูแลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 300,000 เคส เรามีทีมแพทย์มากประสบการณ์พร้อมดูแลใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นตอนการรับคำปรึกษา ประเมินใบหน้าอย่างละเอียด แพทย์เป็นผู้ทำหัตถการให้แน่นอน และมีนัดติดตามผลการออกฤทธิ์ของตัวยาโบท็อกหลังฉีดอีกด้วย
โดยเลือกเข้ามาใช้บริการได้ที่เมกะคลินิก 5 สาขา ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ทีนี้เราก็เริ่มเข้าใจและเห็นความสำคัญของการฉีดโบลดริ้วรอยกันตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วใช่ไหมคะ หมอแนะนำให้ฉีดซ้ำบริเวณเดิมได้ทุก ๆ 3-4 เดือน หลังตัวยาโบท็อกสลายหมดแล้ว แต่ไม่ควรฉีดซ้ำเร็วกว่านั้นเพราะอาจทำให้เกิดอาการดื้อยาและมีผลข้างเคียงอื่นตามมาได้
หรือเข้ารับคำปรึกษาเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่แอดมินของเมกะคลินิกได้เช่นกัน ทาง LINE Official: @megaclinic (มี @) หรือกดแอดไลน์ที่ปุ่มสีเขียวด้านล่างนี้