ริ้วรอย คือหนึ่งในสัญญาณแห่งวัยที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะเมื่อเริ่มมองเห็นชัดเจนบนใบหน้า ริ้วรอยเหล่านี้ไม่ได้กระทบแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังอาจทำให้เรารู้สึกขาดความมั่นใจเมื่อพบปะผู้คนหรือต้องออกกล้อง ถ้าปล่อยไว้นาน ร่องลึกที่เกิดขึ้นอาจฝังแน่นจนแก้ไขได้ยากขึ้นในภายหลัง
สาเหตุของริ้วรอยมีได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เช่น เวลายิ้ม หัวเราะ เลิกคิ้ว หรือขมวดคิ้ว กล้ามเนื้อเล็ก ๆ บนใบหน้าจะหดเกร็งซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นรอยพับสะสมในผิว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเริ่มลดลง ผิวจึงไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีเหมือนเดิม ทำให้รอยที่เคยหายไปเองกลายเป็นรอยถาวรที่เห็นได้แม้ในเวลาที่หน้าอยู่เฉย ๆ
โบท็อกซ์ (Botox) หรือชื่อเต็มคือ Botulinum Toxin Type A เป็นโปรตีนสกัดที่สามารถระงับการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อได้ชั่วคราว เมื่อนำมาใช้กับกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ บนใบหน้า ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อในบริเวณนั้นผ่อนคลาย ไม่หดเกร็ง จึงลดการเกิดริ้วรอยจากการขยับกล้ามเนื้อขณะแสดงสีหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อแพทย์ฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่กล้ามเนื้อมัดเล็กบริเวณที่มีริ้วรอย ได้แก่ หน้าผาก ระหว่างคิ้ว หรือหางตา ตัวยาจะออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณนั้นหยุดทำงานชั่วคราวและเกิดการคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยดูจางลง ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น
ตัวยาโบท็อกซ์จะค่อย ๆ ออกฤทธิ์และเริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 2–4 สัปดาห์ รอยย่นจะค่อย ๆ จางลง ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และเวลาแสดงสีหน้าใบหน้าก็ดูอ่อนเยาว์กว่าช่วงก่อนฉีด
โบท็อกซ์มีฤทธิ์อยู่ได้นานประมาณ 3–4 เดือน แต่สำหรับกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ถูกใช้งานบ่อย อย่างบริเวณที่มีริ้วรอย ระยะเวลาอาจสั้นกว่านี้เล็กน้อยคือราว 3 เดือน หลังจากนั้นริ้วรอยเดิมจะค่อย ๆ กลับมาเหมือนเดิม ช่วงนี้สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้อย่างปลอดภัย
ข้อควรระวัง: ไม่ควรฉีดถี่เกินกว่าทุก ๆ 3–4 เดือน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยาได้ในระยะยาว การเว้นช่วงฉีดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและปลอดภัย
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย มักจะเน้นไปที่บริเวณกล้ามเนื้อใบหน้าที่มีการขยับบ่อย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของริ้วรอยที่เห็นได้ชัด โดยจุดที่นิยมฉีด ได้แก่
แต่ละจุดใช้ตัวยาอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 25 ยูนิต โดยปริมาณยูนิตที่ใช้จะขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปริมาณกล้ามเนื้อ และระดับความลึกของริ้วรอยของแต่ละคน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติที่สุด
หลังฉีดโบท็อกซ์แม้จะไม่ต้องพักฟื้น แต่ก็ยังต้องดูแลตัวเองเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือความร้อนอุณหภูมิสูงที่อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของโบท็อกซ์ลดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
ความร้อนจากแสงแดด แม้จะไม่รุนแรงพอจะทำให้โบท็อกซ์สลายตัว แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อผิว เช่น ผิวไหม้ คล้ำเสีย ได้ง่าย ดังนั้นหลังฉีดควรหลีกเลี่ยงการออกแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน และหมั่นทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
การทานหมูกระทะ ชาบู หรืออาหารร้อนอื่น ๆ สามารถทำได้ตามปกติ เพราะอุณหภูมิของอาหารหรือไอน้ำที่สัมผัสจากภายนอกไม่ได้สูงพอจะส่งผลต่อโบท็อกซ์ที่อยู่ลึกในชั้นกล้ามเนื้อ
หลังฉีดโบท็อกซ์ อาจมีรอยเข็มหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีดได้เล็กน้อย มักเกิดจากเข็มสัมผัสกับเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ซึ่งถือเป็นอาการปกติและไม่อันตราย และจะค่อย ๆ จางลงเองภายใน 7–14 วัน สามารถทายาลดรอยช้ำ หรือใช้คอนซีลเลอร์ช่วยปกปิดในระหว่างรอรอยจางได้ตามปกติ
ในช่วง 2–4 สัปดาห์แรก หลังจากตัวยาเริ่มออกฤทธิ์ อาจรู้สึกตึง ๆ หรือหนักบริเวณหน้าผากและคิ้วได้เล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองภายใน 1 เดือน หากมีอาการปวดสามารถทานยาแก้ปวด แต่ไม่ควรกดนวดบริเวณที่ฉีด
โดยทั่วไปการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยจะเน้นผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ที่เมกะคลินิกจะไม่ฉีดในจุดเสี่ยงอย่างใต้ตา ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวมากเกินไปและดูตาแข็ง อีกทั้งแพทย์จะประเมินอย่างรอบคอบเพื่อให้ผลลัพธ์สวยและปลอดภัย
แม้โบท็อกซ์จะมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการกับริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า แต่ก็ยังมีบางกรณีที่ใช้การฉีดโบท็อกซ์ช่วยไม่ได้ หรืออาจช่วยได้ไม่เต็มที่นัก อย่างริ้วรอยที่เกิดจากปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขยับของกล้ามเนื้อ ได้แก่
ทั้งหมดนี้สามารถฉีดร่วมกับโบท็อกซ์ได้ เพื่อเสริมผลลัพธ์ใบหน้าอ่อนเยาว์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย
ข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจฉีด
ใครกำลังมองหาคลินิกที่ไว้ใจได้ MEGA CLINIC พร้อมเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของผลลัพธ์ที่เปลี่ยนชัด โปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้มค่า และมาตรฐานความปลอดภัยที่วางใจได้แน่นอน โดยเรา
ลูกค้าทุกท่านสามารถตรวจสอบชื่อแพทย์และเลขใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ครบทุกคน
สรุป โบท็อกซ์ริ้วรอย ฉีดตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้หน้าแก่ช้าลงได้จริงไหม คำตอบคือ โบท็อกซ์สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยลึกถาวรได้จริง โดยเฉพาะริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณนั้นถูกคลายตัวตั้งแต่เริ่มมีรอยจาง ๆ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้รอยพัฒนาเป็นร่องลึกในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน สดใส และดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยตั้งแต่ระยะแรก ๆ นอกจากจะช่วยลดริ้วรอยที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นการดูแลผิวเชิงป้องกัน (Preventive Skincare) ที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนที่ต้องการดูดีอย่างเป็นธรรมชาติและคงความอ่อนเยาว์ให้นานที่สุด
ปกติหัตถการประเภทฉีดสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี โดยส่วนใหญ่ปัญหาริ้วรอยจะเริ่มมาในช่วงเข้าสู่วัยทำงาน 20-25 ปีขึ้นไป ซึ่งช่วงอายุนี้ยังไม่ถือว่าแก่ แต่สำหรับคนที่กังวลหน้าแก่ก่อนวัยก็ควรเริ่มมองหาวิธีชะลออายุใบหน้าได้แล้ว และการฉีดโบท็อกซ์ก็คือหนึ่งในนั้น
การรู้สึกตึง ๆ หลังฉีดโบท็อกซ์หมายถึงตัวยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ซึ่งจะอยู่ในช่วง 2–4 สัปดาห์ เป็นไปได้ที่บางเคสจะรู้สึกถึงผลลัพธ์ได้เร็ว เช่น หน้าผากเริ่มตึง หรือรอยหางตาดูจางลงเวลายิ้ม เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจตอบสนองต่อตัวยาต่างกันได้บ้าง อย่างไรก็ตามเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาดังกล่าวแน่นอนค่ะ
ที่เมกะคลินิกมีนัด Follow-up ติดตามผลหลังฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยทุกเคส หากมีความกังวลอะไรสามารถสอบถามกับแพทย์ผู้ดูแลในวันนัดได้ โดยแพทย์จะทำการประเมินย้ำฟรีให้อีก 1 ครั้งด้วย
สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตกเล็กน้อย การฉีดโบท็อกซ์บริเวณหางตาหรือหน้าผากสามารถคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหนังตาลง ช่วยยกหนังตาขึ้นเล็กน้อยได้ แต่ถ้าหนังตาตกมากหรือมีภาวะเปลือกตาหย่อนคล้อยชัดเจน แนะนำให้ปรึกษาศัลยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อพิจารณาทำศัลยกรรมยกหนังตา จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและถาวรกว่า
MEGA CLINIC มี 5 สาขา ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล ได้แก่
สามารถทักสอบถามเจ้าหน้าที่แอดมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดหัตถการ และสำรองคิวล่วงหน้าได้ทาง LINE Official: @megaclinic (มี @) โดยคลิกที่ปุ่มแอดไลน์สีเขียวด้านล่างหน้าจอได้เช่นกัน